สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com

ประวัติ หลวงปู่สรวง

ประวัติ หลวงปู่สรวง

ประวัติหลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดิน

ออยเตียนสรูล บายติ๊กเจีย

  หลวงปู่สรวง พระอริยะสงฆ์ผู้พิสดารที่อยู่เหนือกาลเวลา

ได้มีผู้เคยถาม หลวงปู่ฤทธิ์ รตนโชโต วัดชลประทานราชดำริ ว่า หลวงปู่รู้จัก หลวงปู่สรวง แห่งท้องทุ่งศรีสะเกษ หรือเปล่าครับ?

หลวงปู่ฤทธิ์ ท่านบอกว่ารู้จัก และรู้จักมานานแล้ว เมื่อ คราวที่หลวงปู่ฤทธิ์ ทำบุญวางศิลาฤกษ์ สร้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่ ที่วัดชลประทานราชดำริ หลวงปู่สรวงท่านก็มา เวลาท่านมาท่านก็มาของท่านเองไม่รู้ว่าท่านมาเมื่อไหร่ มารู้อีกทีก็เมื่อตอนที่เห็นท่าน เวลาท่านจะไปท่านก็ไปท่านเดินออกไปทางป่าด้านโน้น อยู่ด้านหน้าศาลาเป็นป่ากว้างมีน้ำท่วมขังเล็กน้อย ท่านเดินตรงไปแต่พอมองออกไปจะเห็นฝูงสัตว์เดินตามท่านเป็นพรวนแล้วสักพักท่านก็หายไป

หลวงปู่ฤทธิ์ ท่านยังได้พูดว่า เรื่อง หลวงปู่สรวงพูดไปแล้วก็เหมือนกับนิยาย เป็นเรื่องเหลือเชื่อ

แต่ท่านก็มีตัวตนจริง เมื่อหลายสิบปีก่อน ได้พบเห็นท่านอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็เห็นท่านเหมือนเดิม

ตัวของหลวงพ่อเองนี่ซิ..แก่ลงไปทุกวันทุกปีนี่ก็อายุ 82 แล้วแต่หลวงปู่สรวงท่านก็อยู่ของท่าน

อย่างนั้น


ส่วนเรื่องอายุของ หลวงปู่สรวงนั้น

หลวงปู่ฤทธิ์ท่านก็บอกว่า ท่านไม่รู้เหมือนกันว่าเท่าไหร่?.... สถานที่จำวัด เมื่อตอนที่พบ

หลวงปู่สรวงก็คือ กระท่อมเฝ้านากลางท้องทุ่งริมถนนหมู่บ้านละลม-สะเดา ชายแดนด้านเขมร

เป็นกระท่อมยกพื้นสูงมุงหลังคาด้วยไม้กระดานเก่าๆ กันลมกันฝนไม่ค่อยได้ ในวันนั้น

หลวงปู่สรวงท่านนอนอยู่ในกระท่อม มีชายชราผมขาวนั่งเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ คอยบีบนวด

ให้หลวงปู่สรวง นอกกระท่อมมีชายหญิงชาวบ้าน 4-5 คนนั่งคุยกันอยู่เป็นชาวบ้านย่านนั้น

ข้างฝากระท่อมมีว่าวจุฬาตัวใหญ่เหน็บข้างฝาอยู่ 1 ตัว มีเตาเล็กๆ และหม้อหุ้งข้าวเก่าๆ

วางอยู่ 1 ชุด และก็มีถังใส่น้ำขุ่นๆเข้าใจว่าจะตักมาจากหนองน้ำกลางทุ่งที่อยู่ใกล้ ๆ

หน้ากระท่อมหลวงปู่สรวงมีแคร่ไม้ยาว สำหรับนั่ง พวกเราทุกคนเข้าไปกราบท่าน

ท่านก็ลุกขึ้นมาแต่ท่านไม่พูดจาอะไร ในปากของท่าน ก็เคี้ยวใบพลูสดอยู่ตลอดเวลา

มีพวกผมคนหนึ่งถามท่านว่า หลวงปู่อายุเท่าไรแล้ว ท่านก็ตอบเป็นภาษาส่วย ซึ่งผมเอง

และเพื่อนที่ไปจากกรุงเทพ ก็ฟังไม่เข้าใจ แต่พรรคพวกที่ศรีสะเกษแปลว่าให้ฟังว่า

เรื่องของอดีตลืมไปหมดแล้ว ชื่ออะไรก็จำไม่ได้ เขาเรียกว่าปู่สรวง ก็ปู่สรวง ชื่อเสียงมันก็

ไม่ใช่ตัวของเราจะเรียกยังไงก็ได้ ถ้ามาคิดกันอีกแง่นึงก็เหมือนกับว่า ท่านได้สอนธรรมะชั้นสูง

ให้กับพวกเราให้รู้ว่า ให้มีแต่ปัจจุบันเพราะสิ่งทั้งหลายมันผ่านไปแล้ว มันเป็นเรื่อง สมมุติ

ทั้งนั้น....



ว่าวจุฬาตัวใหญ่ที่เหน็บ ไว้ที่ข้างฝากระต๊อบก็เป็นสิ่งที่สะดุดใจของคณะพวกผม จึงไต่ถาม

ชาวบ้านที่มาเฝ้าดูแลท่าน ชาวบ้านบอกว่า หลวงปู่ท่านชอบเล่นว่าว และชอบดูเขาตีไก่ชนกัน

ตอนหน้าแล้งชาวบ้านทั่งเด็กและผู้ใหญ่จะไปเล่นว่าวกันที่กลางทุ่ง หลวงปู่สรวงท่านจะนั่ง

ดูยิ้มหัวเราะด้วยความชอบอกชอบใจ บางคนยังเล่าว่า บางครั้งหลวงปู่สรวงท่านหายไป

ว่าวตัวที่เหน็บอยู่ก็หายไปด้วย เมื่อเห็นว่าวเหน็บอยู่ที่กระต๊อบนั่นก็คือหลวงปู่ท่าน

ต้องอยู่ที่กระต๊อบอย่างแน่นอน ผมก็เลยถามว่าเวลาหลวงปู่สรวงท่านออกไปไหนทำไม

คนที่เฝ้าอยู่ไม่รู้ ? พวกเขาบอกว่ามาดูแลท่านเฉพาะตอนกลางวัน พอกลางคืนต่างคนก็กลับบ้าน

ในกระต๊อบก็จะมีหลวงปู่สรวงท่านอยู่รูปเดียว เมื่อท่านหายไปไหนจึงไม่มีใครรู้ ชาวบ้านในกลุ่ม

ที่เล่าบางคนถึงกับบอกว่า ท่านบินไปพร้อมกับว่าว ส่วนเรื่องที่ท่านชอบดูเขาตีไก่ชนนั้น

ก็เป็นเรื่องจริง เพราะมีบ่อยครั้งที่ที่มีการตีไก่จะเห็นหลวงปู่สรวงไปนั่งดูอยู่ด้วย และท่าน

ก็จะหัวเราะชอบใจตบมือตบไม้เชียร์ไก่ก็ยังมี



การที่มีผู้คนส่วนใหญ่ไปหาท่านมักจะเป็น เรื่องของตัวเลข

เพื่อเอาไปแทงหวย ยิ่งใกล้วันที่หวยออกจะมีรถราหลายสิบคันไปจอดเรียงรายอยู่ใกล้ๆ

กระต๊อบที่ท่านจำวัด ถ้าใครได้ยินหรือได้ฟังว่าหลวงปู่สรวงทำอะไรออกมาเป็นตัวเลข

พวกเขาก็จะคิดกันไปต่างๆนาๆบางคนก็ถูกบางคนก็ไม่ถูก มีคนเล่าให้ฟังว่า คนที่ถูกหวย

ได้เงินจำนวนมากๆ หลายรายนำเงินสดไปถวายท่าน ท่านก็หยิบขึ้นมาดูแล้วก็โยนเข้ารก

เข้าพงไปทั้งปึก คนที่เห็นเหตุการณ์ ก็เข้าไปหาแต่ก็หาไม่พบทั้งๆที่เงินจำนวนไม่ใช่น้อย

และบางครั้ง ก็มีผู้นำเงินไปถวายท่านเวลาที่เขากลับหลวงปู่สรวงท่านก็ขออาศัยรถเขาไปด้วย

เมื่อรถแล่นไปตามถนนที่มีผู้คนมากๆหลวงปู่ท่านก็จะเอาเงินที่พวกเขาถวายออกมา

โปรยไปตามทาง.....


ถนนที่รถวิ่งให้กับผู้คนที่ยากจน นับเป็นที่ร่ำลือและฮือฮากันมากสมัยที่มีสงคราม

ช่วงชิงอำนาจของเขมรยังรุ่นแรงอยู่ ก็มีผู้คนอพยพมาตามแนวชายแดนเป็นจำนวนมาก

มีคนเล่าว่าหลวงปู่สรวงท่านจะเปลี่ยนเป็นนุ่งขาวห่มขาวออกไปรับผู้ที่อพยพเข้ามา

ทางชายแดนจุดใดที่ท่านออกไปรับผู้ที่อพยพก็มักจะปลอดภัยจากปืนใหญ่และการติดตาม

ของทหารเขมร บางวันหลวงปู่สรวงท่านก็จะเอาผ้าสีขาวปักเป็นธงไว้ในที่สูงให้เห็นกันอย่าง

ชัดเจน ชาวเขมรที่อพยพก็จะไปอยู่กันตรงที่หลวงปู่ปักธงสีขาวเอาไว้ วันนั้นถ้า จะมีปืนใหญ่

ยิงมาตามแนวชายแดน ผู้คนที่อพยพมาอยู่ตรงที่หลวงปู่สรวงปักผ้าขาวเอาไว้ก็จะปลอดภัย

จากลูกกระสุนปืนใหญ่

ภายหลังจากที่สงครามการช่วงชิง อำนาจของเขมรสิ้นสุดลง หลวงปู่สรวงท่านก็พัก

อยู่ที่กระต๊อบเฝ้านาด้านชายแดนเขมรแถว อำเภอ ขุขันธ์ เวลากลางวันก็มีชาวบ้านแถวนั้น

มาคอยดูแลปรนนิบัติรับใช้ท่าน เวลากลางคืนหลวงปู่สรวงก็อยู่ของท่านรูปเดียว บางครั้ง

ท่านก็จะหายไปนานๆ ท่านถึงจะกลับมา เมื่อมีผู้คนเดินทางไปหาท่านเขาก็จะถามร้านที่อยู่

ตรงปากทางเข้าบ้านละลม-สะเดา ว่าหลวงปู่อยู่ หรือไม่? ถ้าหลวงปู่สรวงอยู่เขาก็จะบอกว่า

ท่านกลับมาแล้วเมื่อคืนนี้ แล้วต่างก็เข้าไปหาท่านที่กระต๊อบเฝ้านา ไม่แห่งใดก็แห่งหนึ่ง

ในท้องทุ่งนั้น

    เคยมีผู้นิมนต์ท่านไปเจิม ร้านวันเปิดร้านทำบุญขึ้นบ้านใหม่ก็มีอย่างปั๊ม ปตท. ปากทาง

เข้า อำเภอ ขุขันธ์ ที่พวกเราแวะเติมน้ำมันรถและรับประทานอาหารกลางวัน ก็ได้พบรูป

หลวงปู่สรวงติดไว้ในร้านทั้งยังมีข้อความใต้ภาพว่า “ หลวงปู่สรวง อายุ 500 ปี จำวัดทั่วจักรวาล”

ทางเจ้าของร้านได้นิมนต์หลวงปู่สรวงท่านมาเปิดร้านให้ ปั๊มก็เจริญมาตลอดจนเป็นปั๊มใหญ่ดัง

ที่ได้เห็นอยู่ทุกวันนี้


 
เรื่องของการเปิดป้ายร้านค้า

ชาวบ้านผู้หนึ่งที่ได้เฝ้าดูแลหลวงปู่สรวงอยู่เล่าให้ผมฟังว่า มีร้านค้าเปิดใหม่แถวนั้นได้นิมนต์

หลวงปู่สรวงเปิดร้าน พอท่านสวดมนต์และฉันอาหารเสร็จท่านก็เดินออกมาหน้าร้านด้านนอก

ถลกจีวรยืนฉีที่หน้าร้าน เจ้าของร้านรู้ทันจึงได้เข้าไปเอามือรองฉี่ของท่านสะบัดไปทั่วหน้าร้าน

เจ้าของร้านที่เอามือรองฉี่เล่าให้ฟังภายหลังว่าฉี่ของหลวงปู่สรวงแทนที่จะร้อนหรืออุ่นๆ ที่มือ

ฉี่ของท่านกลับเย็นเหมือนน้ำแข้งและเมื่อหวยออกงวดนั้น หมายเลขร้านค้า ดังกล่าวตรงกับ

เลขของหวยที่ออกพอดี หลายคนที่อยู่ในที่นั้นเลยถือโอกาส รวยไปตามๆกัน บางรายได้นิมนต์

ท่านสวดมนต์เย็นขึ้นบ้านใหม่ร่วมกับพระสงฆ์ที่มาจากที่อื่น เมื่อสวดมนต์เสร็จแล้วหลวงปู่สรวง

ท่านจะลุกมาที่กลางบ้านนั่งถ่ายหนักอย่างหน้าตาเฉย ส่วนใหญ่เจ้าของบ้านก็จะรู้ทันรีบเอามือ

ละเลงอึของท่านจนทั่วบ้าน เพราะเขารู้กันว่าอึของท่านไม่เหม็นแต่มีกลิ่นหอมคล้ายๆน้ำผึ้ง


** พฤติกรรมแปลกของหลวงปู่สรวง

บางคนที่ไม่รู้ก็หาว่าท่านบ้าๆบอๆบางคนก็เห็นว่าท่านอยู่เหนือโลก บางคนเล่าให้ฟังอีกว่า

ถ้าหลวงปู่สรวง ท่านจะไปไหนในเวลากลางวันท่านก็จะขอโดยสารรถไปดื้อๆ และก็ไม่มีรถ

คันไหนปฏิเสธท่าน ถ้ารถคันใดปฏิเสธท่านไม่ยอมให้ท่านไป รถคันนั้นก็จะขัดข้องเครื่องยนต์

ก็จะดับบ้างติดบ้างหรือไม่ก็ยางแตกขับไปไหนไม่ได้ ดังนั้นเวลาท่านต้องการที่จะโดยสาร

รถคันไหนไปจึงไม่มีใครที่จะกล้าปฏิเสธ บางรายก็บอกว่าเมื่อท่านนั่งรถไปแล้วก็จะให้คนขับ

ขับไปเรื่อยๆ ถ้าท่านให้หยุดส่งท่านตรงไหนท่านก็จะลงตรงนั้นแล้วท่านก็จะเดินหายไปเฉยๆ

ไม่มีใครรู้ว่าท่านไปทำอะไรที่ไหน บางคนก็บอกว่าท่านกลับไปจำวัดที่กระต๊อบเฝ้านากลาง

ทุ่งละลม-สะเดา แต่บางครั้งท่านก็จะหายไปนานๆ หลายๆวันแต่ก็ไม่มีใครทราบว่าท่านไปไหน

จึงมีบางคนที่ถามท่านว่าท่านไปไหน ท่านก็ไม่ตอบ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

24 ชั่วโมง ก่อนหลวงปู่ละสังขาร

ตามปกติหลวงปู่จะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง สามารถนั่งรถเดินทางไปไหนมาไหนได้

เป็นเวลาติดต่อกันหลายวัน โดยหยุดพักเพียงเล็กน้อย ท่านไม่ค่อยเจ็บป่วยหรือแสดงอาการ

ว่าเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด จะมีบ้างก็เป็นการเจ็บป่วย เล็กๆน้อยๆและก็หายได้ในเร็ววัน

โดยไม่เคยฉันยา เพิ่งจะมีอาการป่วยปรากฏในไม่กี่เดือนหลังมานี้ หลวงปู่มีอาการป่วยและ

ไม่ฉันอาหารติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวัน


วันที่ 7 กันยายน 2543 เวลาประมาณ 17.00 น.

หลวงปู่ได้เดินทางเข้าไปในจังหวัดศรีสะเกษ และได้พบกับลูกศิษย์ นายสมยศฯ

ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) สาขาศรีสะเกษ ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่เองก็มีอาการป่วย

คือมีเสมหะ และเสียงแหบแห้ง พูดฟังไม่ค่อยชัดและได้ออกจากธนาคารกรุงเทพฯ ไปที่

บ้านอาจารย์ทวีศักดิ์ ในระหว่างที่ลูกศิษย์หารือกันว่าจะพาหลวงปู่ไปหาหมอที่อำเภอ

ประโคนชัย(หมอ ไฮ) หลวงปู่ก็ตื่นขึ้นมาและขอน้ำล้างหน้า หลวงปู่ได้บอกกับนายสมยศว่า

จะขอกลับบ้านที่บ้านตะเคียนรามด้วย พวกลูกศิษย์ที่อยู่ในขณะนั้นได้ขอร้องให้หลวงปู่

ไปหาหมอที่อำเภอประโคนชัย แต่หลวงปู่ไม่ยอมจึงได้พาหลวงปู่ไปที่บ้านตะเคียนราม

ถึงเวลาประมาณ 20.00 น. 

และหลวงปู่ได้นั่งอยู่ในรถสักครู่ใหญ่ๆ และได้บอกให้ลูกศิษย์ก่อไฟและลงไปผิงไฟ

ลูกศิษย์ที่ติดตามมามี นายสัญชัย (เจ้าของรถ),นายดุงกับภรรยา,นายสมยศ (เจ้าของบ้าน)

และหลวงปู่ได้ผิงไฟ และให้นวดเฟ้นให้จนถึงเวลาประมาณ ตีหนึ่งเศษ หลวงปู่ก็บอกว่า

"จะไปตามทางตามเพลา" โดยมีเพียงหลวงปู่ และนายสัญชัยเป็นผู้ขับรถเท่านั้น

และหลวงปู่ได้เดินทางไปที่กระท่อมข้างวัดป่าบ้านจะบก จนกระทั่งถึงเวลาประมาณ

บ่ายสองโมงของวันที่ 8 กันยายน 2543 อาการป่วยของหลวงปู่ก็กำเริบหนักขึ้น

หลวงปู่ได้บอกกับลูกศิษย์ว่าจะไป ที่บ้านรุน และได้ให้นายกัณหา ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่ง

ซึ่งอยู่บ้านละลมถอดเสื้อออกมาเพื่อพัดด้านหลัง ให้กับหลวงปู่ หลังจากพัดอยู่นานพอสมควร

ก็ได้บอกให้ลูกศิษย์ที่รวมกันอยู่ในกระท่อมในขณะนั้นช่วยกันงัด แผ่นไม้กระดานที่หลวงปู่

นั่งทับอยู่ออกมาหนึ่งแผ่น ทั้งที่หลวงปู่ยังนั่งอยู่บนกระดานแผ่นนั้น พองัดออกมาได้ หลวงปู่

ก็ได้พนมมือไหว้ไปทุกสารทิศ

เสร็จแล้วก็ให้ลูกศิษย์หามท่านออกมาจากกระท่อม และวางลงพื้นดินด้านทิศเหนือ

อยู่ระหว่าง กระท่อมกับต้นมะขาม โดยหลวงปู่หันหน้าเข้ากระท่อมขณะนั้นมีผู้นำน้ำดื่ม

บรรจุขวดมาถวาย 2 ขวด หลวงปู่ได้เทน้ำรดตนเองจากศรีษะลงมา จนเปียกโชกไปทั้งตัว

คล้ายกับเป็นการสรงน้ำครั้งสุดท้าย นายสัญชัยผู้ขับรถให้หลวงปู่นั่งเป็นประจำได้นำรถ

มาจอดใกล้ๆ และช่วยกันหามหลวงปู่ขึ้นรถและขับตรงไปที่กระท่อมบ้านรุน อำเภอบัวเชด

จังหวัดสุรินทร์ โดยมีนายสุขหรือนายดุง (คนบ้านเจ็ก อำเภอขุขันธ์) ขับรถติดตามไป

เพียงคนเดียว ก่อนจะถึงกระท่อมนายสัญชัยได้หยุดรถที่หน้าบ้าน นายน้อยเพื่อจะบอกให้

นายน้อย ตามไป แต่หลวงปู่ได้บอกให้นายสัญชัยขับรถไปที่กระท่อมโดยเร็ว โดยบอกว่า

"เต็อวกะตวม เต็อวกะตวม กะตวม" พอถึงกระท่อมได้อุ้มหลวงปู่ไปที่แคร่ ในกระท่อม

และช่วยกันก่อกองไฟ เพื่อให้เกิดความอบอุ่น และนายสุขได้อาสาขอออกไปข้างนอก

เพื่อจัดหาอาหารมาถวายหลวงปู่ และรับประทานกัน

นายสุขได้ไปที่บ้านโคกชาด ตำบลไพรพัฒนา ไปพบนายจุกและนางเล็กซึ่งเป็นลูกศิษย์

หลวงปู่เช่นเดียวกันและได้บอก ให้รีบไป หาหลวงปู่ที่บ้านรุน เพื่อดูอาการป่วยของหลวงปู่

ซึ่งมีอาการหนักกว่าทุกคราว นางเล็กได้จัดหาอาหารให้กับนายสุข ส่วนตัวเองกับสามีได้ขับรถ

ตามไปทีหลัง พอมาถึงกระท่อมปรากฎว่านายสัญชัยขับรถออกไปข้างนอก

พวกที่อยู่ก็รีบหุงหาอาหารเพื่อจัดถวายหลวงปู่ โดยหวังว่าหากหลวงปู่ได้ฉันอาหารอาการ

ก็คงจะดีขึ้นบ้าง แต่หลังจากถวายอาหารแล้วหลวงปู่ไม่ยอมฉันอาหารเลย แม้จะอ้อนวอน

อย่างไรหลวงปู่ก็นิ่งเฉย นายสัญชัยที่ออกไปทำธุระข้างนอก ได้กลับมาโดยขับรถตามนายน้อย

ที่นำของมาถวาย หลวงปู่เหมือนกัน เมื่อไม่สามารถที่จะทำให้หลวงปู่ฉันได้ ทุกคนก็พิจารณา

หาวิธีว่าจะช่วยหลวงปู่ได้อย่างไร ในที่สุดก็เห็นพ้องกันว่าให้รีบช่วยกันแต่งขันธ์ห้า ขันธ์แปด

มาขอขมาหลวงปู่โดยด่วน ตามที่เคยได้กระทำมาและก็ได้ผลมาหลายครั้งแล้วซึ่งจะทำให้

หลวงปู่หายป่วยได้ ทุกครั้ง และนายสัญชัยยืนยันว่า ถ้าได้แต่ง ขันธ์ห้า ขันธ์แปด ขอขมา

และหาแม่ชีมาร่วมสวดมนต์ถวายด้วยแล้วก็จะหายเป็นปกติ ทุกคนเห็นชอบด้วยจึงให้

นายสัญชัยรีบดำเนินการโดยด่วน นายสัญชัยได้ขับรถไปที่บ้านขยุงเพื่อหาคนที่เคย

แต่งขันธ์ห้า ขันธ์แปด เมื่อนายสัญชัยออกไปแล้วลูกศิษย์ที่เหลืออยู่ซึ่งมีผู้ใหญ่บ้านรุน

และลูก บ้านอีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งนายมี เจ้าของกระท่อมก็ได้พากันแต่งขันธ์ห้า ขันธ์แปด

เฉพาะหน้าอย่างรีบด่วน เพื่อเป็นการบันเทาจนกว่านายสัญชัยจะได้ พาคนที่แต่งขันธ์ห้า

ขันธ์แปดมาทำพิธีอีกครั้งหนึ่ง โดยนายน้อยได้อาสาไปหาธูปเทียน ในหมู่บ้าน โดยขับรถออกมา

ห่างจากกระท่อมประมาณ 300 เมตร รถติดหล่มไม่สามารถขับรถออกไปได้ทั้งที่เคยเป็นทาง

ที่ใช้เป็นประจำ ด้วยความร้อนใจนายน้อยได้จอดรถล็อคประตูและขวางถนนทำให้รถคันอื่น

ไม่สามารถ เข้าออกได้ และได้อุ้มลูกเดินเข้าไปในหมู่บ้านในระหว่างนั้นเองนายสัญชัย

ได้ขับรถเข้ามา แต่ก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้เนื่องจากมีรถนายน้อยติดหล่มขวาง

ทางอยู่ จึงได้กลับเอารถมาจอดไว้ที่บ้านนายน้อย

     ในระหว่างที่กำลังรอคอย นายน้อยออกไปซื้อธูปเทียนนั้น ชาวบ้านรวมทั้งผู้ใหญ่บ้าน

ได้พากันทยอยกลับจนเกือบจะหมดแล้ว และได้มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่าพวกเรา

น่าจะพาหลวงปู่ไปส่งที่โรงยาบาลจะเป็นการดีที่สุด และแล้วพวกชาวบ้านพากันกลับไป

จนหมด ซึ่งผิดจากทุกครั้งที่เขาเหล่านั้นจะอยู่กับหลวงปู่ตลอดเวลาจะกลับบ้านก็ต่อเมื่อ

หลวงปู่ได้เดินทางไปที่อื่นแล้ว สุดท้ายก็ยังมีลูกศิษย์กับหลวงปู่ในกระท่อมเพียงแปดคน

รวมทั้งเด็กที่เป็นลูกของนายจุกนางเล็กด้วย ทุกคนต่างหาวิธีที่จะช่วยให้ความอบอุ่น.

แก่หลวงปู่ ซึ่งขณะนั้นได้พากันจับดูตามร่างกายของหลวงปู่ จะเย็นจัดตลอด บางคนก็ได้

เอาหมอนไปอังไฟให้ร้อนแล้วนำมาประคบตามร่างกายให้หลวงปู่บางคนก็ ต้มน้ำร้อน

หลวงปู่ได้สั่งให้ลูกศิษย์เอาผ้าชุปน้ำอุ่นมาเช็ดนิ้วมือนิ้วเท้าทำความ สะอาดและเช็ดทั่ว

ทั้งร่างกายโดยย้ำว่า ให้ทำให้สะอาดที่สุด บางแห่งตามนิ้วเท้าที่ของหลวงปู่ที่ลูกศิษย์เช็ด

ให้ไม่สะอาดพอ หลวงปู่ก็ใช้นิ้วมือเกาถูอย่างแรง จนสะอาด เมื่อทำความสะอาดร่างกาย

พอสมควรแล้ว หลวงปู่ได้เอ่ยออกเสียงอย่างแผ่วเบาออกมาเป็นภาษาเขมรว่า "เนียงนาลาน"

(นางไหนละรถ) ซึ่งเสียงที่เปล่งออกมานั้นแผ่วเบามาก ทุกคนเข้าใจว่า "เนียง" นั้นหมายถึง

นางเล็กจึงได้ พากันอุ้มหลวงปู่ไปขึ้นรถของนายจุกนางเล็ก โดยผู้ที่อุ้มมีนายจุก และนายตี๋

โดยนายสุขเป็นผู้เปิดประตูรถให้ พอนำหลวงปู่ขึ้นนั่งบนรถโดยลูกศิษย์ได้ปรับเบาะเอนลง

เพื่อให้หลวงปู่เอนกาย ได้สบายขึ้น ท่านได้พยายามยื่นมือมาดึงประตูรถปิดเอง ลูกศิษย์

จึงช่วยปิดให้รถเลื่อนออกจากกระท่อมเพื่อไปโรงพยาบาลบัวเชด ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากแต่รถ

ออกไปได้ประมาณ 50 เมตร อาการป่วยของหลวงปู่ก็เริ่มหนักมากขึ้นทุกทีจนลูกศิษย์

ที่นั่งอยู่ด้วยด้าน หลังตกใจ และร้องขึ้นว่า "หลวงปู่อาการหนักมากแล้ว" และได้จอดรถ

คนที่อยู่รถคันหลังก็วิ่งลงมาดู และก็บอกว่าอย่างไรก็จะต้องนำหลวงปู่ส่ง โรงพยาบาล

ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะ เร็วได้ เมื่อรถวิ่งออกมาอีกก็มาติดรถของนายน้อยที่ติดหล่มขวางทางอยู่

ไม่สามารถออกไปได้ นายจุก ได้ร้องตะโกนบอกให้นายจันวิ่งไปสำรวจดูเส้นทางอื่น ว่าจะมี

ทางใดที่สามารถจะนำรถออกไปได้ และเมื่อสำรวจดูโดยทั่วแล้ว เห็นว่ามีทางออกเพียง

ทางเดียวก็คือต้องขับฝ่าทุ่งหญ้าออกไปหาถนน แต่ไม่น่าจะออกไปได้แต่ก็ตัดสินใจขับรถ

ออกไป เหตุการณ์บนรถในขณะนั้น ในขณะที่กำลังเลี้ยวรถเพื่อขับผ่านทุ่งหญ้าออกไปนั้น

ได้มีอาการบางอย่างที่ เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าหลวงปู่จะละสังขารอย่างแน่นอนให้คน

ที่อยู่บนรถเห็น ต่างคนก็ร่ำไห้มองดูด้วย ความอาลัยและสิ้นหวัง หลวงปู่เริ่มหายใจแผ่วลง

เรื่อยๆ ในที่สุดก็ได้ทอดมือทิ้งลงข้างกาย แล้วจากไปด้วยความสงบ... 

อย่างไรก็ตามลูกศิษย์ก็ยังคงนำหลวงปู่ไปที่โรงพยาบาล เผื่อว่าหมอจะสามารถช่วยให้

หลวงปู่ฟื้นขึ้นมาได้ ในระหว่าง ทางไปโรงพยาบาล นายสาด ชาวบ้านตาปิ่น อำเภอบัวเชด

ก็ขี่รถจักรยายนต์สวนทางมา นายจุกชะลอรถและตะโกนบอก ให้นายสาดตามไปที่

โรงพยาบาลบัวเชด พอไปถึงโรงพยาบาล ทั้งนายแพทย์และพยาบาลได้รีบนำหลวงปู่

เข้าห้องฉุกเฉิน ทำการตรวจโดยละเอียด และลงความเห็นว่าหลวงปู่ได้สิ้นลมไปแล้ว

ไม่ต่ำกว่า 3 ถึง 4 ชั่วโมง ซึ่งลูกศิษย์ต่างก็ยืนยันว่า สิ้นลมไม่น่าจะเกิน 10 นาที

แน่นอนเพราะระยะทางจากบ้านรุนไปโรงพยาบาลบัวเชดประมาณ 10 กิโลเมตร

และก็ได้ขับ รถด้วยความเร็วสูงด้วย ลูกศิษย์ไม่ให้ทางโรงพยาบาลฉีดยา หรือกระทำการ

อย่างใดอย่างหนึ่งกับร่างของหลวงปู่ทั้งสิ้น เมื่อเห็นว่าไม่สามารถจะช่วยหลวงปู่ได้แน่แล้ว

ก็ได้พากันนำร่างหลวงปู่กลับพอมาถึง บ้านตาปิ่น ก็ได้แวะเอาจีวรเก่าของ หลวงปู่ที่เคยให้

ไว้กับนายสาด เพื่อนำมาครองให้หลวงปู่ให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย และนายสาดก็ได้ขึ้นรถ

มาด้วยพอมา ถึงบ้านรุนก็มีรถนายสัญชัยและนายน้อยจอดรอ อยู่ ก็ได้แจ้งว่าหลวงปู่ได้

มรณภาพแล้ว และได้พากันขับรถมุ่งหน้าจะไป บ้านละลม พอถึงบ้านไพรพัฒนา นายจุก

ได้ขับรถแวะเข้าไปที่วัดบ้านไพรพัฒนา และได้บอกข่าวให้กับหลวงพ่อพุฒ เจ้าอาวาส

วัดไพรพัฒนาให้ทราบ ว่าหลวงปู่สรวงได้ละสังขารแล้ว


เหตุการณ์ที่วัดไพรพัฒนา

เวลาประมาณ 19.00 น. ในขณะที่หลวงพ่อพุฒกำลังสนทนากับพระลูกวัดก็ได้มีรถเข้ามาจอด

จำนวน 4 คัน โดยมีนายสาด ลงมาแจ้งกับหลวงพ่อพุฒว่าหลวงปู่สรวงมรณภาพแล้ว

หลวงพ่อพุฒอึ้งไปขณะหนึ่ง ก็ได้ถามว่า มรณภาพที่ไหน นายสาดตอบว่าที่โรงพยาบาล

และได้นำศพของท่านมาพร้อมกับรถนี้แล้ว หลวงพ่อพุฒจึงได้ลงไป เปิดประตูรถดู

และได้กราบลงบนตักของหลวงปู่ และได้จับตามร่างกายและหน้าอกของหลวงปู่ดู และก็รู้สึก

ได้ว่าท่านได้ ละสังขารจริงๆ และถามลูกศิษย์ที่นำสังขารหลวงปู่มา ว่าจะดำเนินการอย่างไร

ต่อไป ลูกศิษย์ทุกคนรวมทั้งนายสัญชัย ได้บอกว่าจะนำสังขารของหลวงปู่ไปบำเพ็ญกุศล

ที่วัดบ้านขยุง หลวงพ่อพุฒ บอกว่าให้เดินทางไปก่อนแล้วอาตมาจะตามไป

ขบวนรถทั้ง 4 คันก็ได้เคลื่อนออกจากวัดไพรพัฒนาจะไปยังวัดบ้านขยุง หลวงพ่อพุฒจึง

ครองจีวรเตรียมอุปกรณ์เรียกหาพระลูกวัดก่อนจะออกเดินทางได้ อธิษฐานว่า

“สาธุ ถ้าหากหลวงปู่มีความประสงค์จะให้ลูกหลานได้เป็นผู้บำเพ็ญกุศล ก็ขอให้หลวงปู่

ได้กลับมาที่วัดด้วยเถิด” แล้วก็ได้นั่งรถติดตามไปที่บ้านขยุงแต่ไปถึงแค่บ้านโคกชาด

มีรถหลายคัน จอดอยู่และได้ให้สัญญาณไฟ จึงได้จอดดูแล้วปรากฏว่าเป็นรถที่จะนำสังขาร

หลวงปู่ไปที่วัดบ้านขยุง ได้บอกหลวงพ่อพุฒว่า ให้กลับไปที่วัดไพรพัฒนา แล้วก็ขับออก

นำหน้า หลวงพ่อพุฒก็ได้นั่งรถตามมา พอมาถึงวัดเห็นรถที่มีสังขารหลวงปู่จอดอยู่ที่ด้าน

ทิศตะวันออกของศาลา จึงได้บอกว่าอย่าพึ่งทำอะไรให้อยู่อย่างนี้ก่อน และได้สั่งให้พระลูกวัด

จัดเตรียมสถานที่ตั้งศพบนสาลา ส่วนหลวงพ่อพุฒเองได้นำธูปเทียนมากราบไหว้ขอขมาลาโทษ

และนิมนต์ร่างของหลวงปู่ขึ้นมา ตั้งตรงสถานที่ๆ จัดไว้บนศาลา และได้จุดธูปอธิษฐานว่า

“ หากเป็นความประสงค์ของหลวงปู่จะให้ลูกหลานบำเพ็ญกุศลในที่นี่จริง ก็ขอให้ดำเนินการ

ไปโดยเรียบร้อย และขอให้มีลูกศิษย์ของหลวงปู่ได้มาร่วมบำเพ็ญกุศลโดยทั่วกัน”

ต่อจากนั้นได้ดำเนินการบำเพ็ญกุศลให้กับหลวงปู่อย่างที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน

นี่คือเหตุการณ์ทั้งหมดว่าเหตุใด สรีระของหลวงปู่สรวงจึงได้มาตั้งบำเพ็ญ กุศลอยู่ที่

บ้านไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ แล้วจะสำเร็จในสิ่งที่มุ่งหวัง


 

การอธิษฐานขอพร-ขอความสำเร็จ หลวงปู่สรวง

- ให้จัดบายศรี 1 คู่

ถวาย M -150 1 ขวด (หลวงปู่ชอบฉัน)

- จุดธูป 19 ดอกอธิษฐานตามความประสงค์ แล้วปักธูปกลางแจ้ง

**************************************

วิธีบูชาหลวงปู่สรวงดังนี้

- ใช้ผ้าขาวยาว 1 วา
- ดอกสะเลเต คนไทยภาคกลางเรียก ดอกว่านมหาหงษ์ ๕ คู่
- เทียนขี้ผึ้งแท้หนัก 1 บาท จำนวน 1 คู่
- เทียนเล็ก 5 คู่
- หมากพลูบุหรี่ 9 คำ
- เงินกำนลครู 6 บาท
- จุดธูป 9 ดอก (หรือ 19 ดอก )

(ไม่จำเป็นต้องจัดหาให้ครบทุกอย่าง ตามกำลังและความสะดวกนะครับ

เพราะหลวงปู่ท่านสมถะมาก)



กล่าวคำบูชาท่านว่า


นะโมพุทธายะ อิติปิโสภควา อริยะ อ็องสรวง สัมปันโณ ยะธาพุทโมนะ

นะมะพะทะ อะหังนุกา

ท่อง ๙ ครั้งแล้วบอกกล่าวชื่อเสียงเรียงนามของเรากับท่านบอกความทุกข์

บอกกล่าวในสิ่งที่ปรารถนาให้ท่านช่วย ทุกข์โศกโรคภัยที่มีอยู่จะค่อยๆหายไปในที่สุด 

ขึ้นถวายวันพฤหัส ถือศีล ทำกรรมฐานนั่งสมาธิระลึกถึงท่านเพื่อเป็นการถวาย

ทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติภาวนา แล้วจะสำเร็จในสิ่งที่มุ่งหวัง

(ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคล)

วัตถุมงคล  หลวงปู่สรวง

ที่มีให้บูชาในขณะนี้

ในด้านโชคลาภ เมตตา มหาลาภ

เหรียญหลวงปู่สรวงเทวดาเล่นดินรุ่น1

ปัจจุบันการเช่าหาอันตรายมากครับ มีบล็อคเสริมออกมาตลอด

ตอนนี้มั่วกันไปหมดเลย...ครับ หาที่สิ้นสุดไม่ได้

*บูชาอย่างอื่นดีกว่าครับ 

เงินของท่านยังหาบูชาของดีๆของหลวงปู่สรวง ได้อย่างสบายใจ


 

เหรียญเทวดาเล่นดิน ปัจจุบันเช่าหาบูชายาก

ไม่แนะนำให้บูชาครับ


"ขอแนะนำ"

พระขุนแผนรุ่นแรก หลวงพ่อสาย วัดตะเคียนราม จ.ศรีสะเกษ

หลวงปู่สรวงร่วมปลุกเสกให้ 1 ชั่วโมง 

พระขุนแผนรุ่นแรก หลวงพ่อสาย วัดตะเคียนราม จ.ศรีสะเกษ

ว่านวิเศษ ๑๐๘ ชนิด ผสมองอิทธิเจ ด้านหลังกำกับด้วยยันต์พิเศษ 

ค้าขายดี และการสร้างชัดเจน ไม่ยัดวัด บูชาแล้วจบ แน่นอน

เมตตามหาชาตรี  มหาเสน่ห์ โชคลาภ ปกป้องคุ้มภัย กันคุณไสย์ 

สร้างปี 2530 จำนวนการสร้าง 2000 องค์

หลวงปู่สรวงร่วมปลุกเสกให้ 1 ชั่วโมง 

รับประกันความแท้ ทันหลวงปู่สรวง 100%

++++++++++++++++


พระกริ่งจักรพรรดิ์ชัยวรมันสัมฤทธิ์โชค

หลวงปู่สรวง-หลวงปู่สร้อย ปลุกเสก ปี 32 

รุ่นนี้สร้างจำนวน ๙๙๙ องค์ เพื่อออกในวันไหว้ครู

ประจำปี  ที่วัดเลียบราษฎร์บำรุง

วัตถุมงคลอื่นๆของหลวงปู่สรวง ที่มีให้บูชา

คลิกที่นี่


รูปถ่ายหลวงปู่สรวง จารด้านหน้าและด้านหลังรูป

ภาพนี้เป็นที่มาของขุนแผนและภาพถ่ายที่หลวงปู่ใช้ปากาเมจิกจารมือ

(หลวงปู่จะใช้ปากกาเมจิก เขียนอักขระและรอยจาร)

ด้านล่างเป็นภาพ อริยบทต่างๆของหลวงปู่สรวง

 

หลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดิน 

ปัจจุบันวัตถุมงคลของหลวงปู่ มีการเสริมขึ้นมาเยอะมาก

การเช่าหาควรศึกษาให้ชัดเจน..ก่อน นะครับ

ด้วยความหวังดีจาก บ้านพระเครื่อง ตลาดคนรวย 


Tags : หลวงปู่สรวง ประวัติหลวงปู่สรวง ขุนแผนหลวงปู่สรวง ว่าวหลวงปู่สรวง เหล็กไหลหลวงปู่สรวง วัตถุมงคลหลวงปู่สรวง ฟันหลวงปู่สรวง ชานหมากหลวงปู่สรวง พระอัตถิธาตุหลวงปู่สรวง เขี้ยวแก้วหลวงปู่สรวง

view